เริ่มเข้าสู่ปีใหม่มา
หลายคนก็เริ่มกางนิ้วนับอายุกันแล้ว ฉันก็เช่นกัน
แต่อาจต้องใช้นิ้วคนอื่นมาช่วยด้วย เพราะลำพังยี่สิบนิ้วน้อยๆที่มีคงยังไม่พอ
เลขสามแล้วค่ะคุณขา แอบ Strong เบาๆ
ด้วยความมั่นเบ้าในใบหน้า เมื่อนับอายุตัวเองดูแล้วก็ทำให้เกิดความคิดหลายๆอย่าง
ต่างๆนานา เข้ามาในสมองอยู่เรื่อยๆ บางครั้งก็ครั้งก็คิดย้อนไปถึงวัยเด็ก
คิดๆแล้วก็ขำ เราผ่านจุดๆนั้นมาได้อย่างไร จุดที่เรายืนเข้าแถวตัวดำมืด
ท่ายืนตรงเป๊ะ!! เข้าแถวเคารพธงชาติหน้าเสาธงทุกเช้า
แล้วเปล่งเสียงร้องเพลงชาติไทยด้วยความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
ประหนึ่งว่าเมื่อวานพึ่งกลับจากการไปออกรบกับพม่ารามัญ พูดก็พูดเถอะ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะยังคงเปล่งเสียงร้องด้วยความภาคภูมิเหมือนเดิม
ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดใสๆซื่อๆ ใครสอนอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
เมื่อตอนเด็ก
จำได้เลยตอนนั้นเรียนประถมศึกษาอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งในภูมิลำเนาบ้านเกิดทางแถบอีสาน
ด้วยฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างไปทางรากหญ้า พ่อแม่ก็ส่งให้เรียนโรงเรียนวัดใกล้ๆบ้าน
เพราะก็ไม่ได้คิดว่าการศึกษาจะมีความสำคัญกับชีวิตอะไรขนาดนั้น แต่ผิดค่ะ
ผิดอย่างแรงเลย การศึกษานี่แหละสำคัญมากๆโดยเฉพาะเรื่องภาษาที่สอง สาม และสี่
ที่คุณควรพูดได้
ถึงแม้ว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนแถวบ้านตอนนั้นจะยังอ่อนด้อยกว่าโรงเรียนดังๆในตัวเมือง
แต่ก็มีข้อดีในด้านอื่นๆอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของกฎระเบียบ กติกามารยาท
ในการอยู่ร่วมกันในสังคม เริ่มกันง่ายๆอย่างเช่น
การที่เด็กนักเรียนทุกคนจะต้องมาโรงเรียนแต่เช้า เพื่อมาเข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง
รอเคารพธงชาติที่หน้าเสาธงในตอน แปดโมงเช้าของทุกๆวัน
พร้อมกับท่องสวดมนต์ยามเช้าท้าทายพระอาทิตย์ดวงโตที่ปล่อยพลังงานแห่งความอบอุ่นที่บางทีก็ดูจะมากเกินไปหน่อย
ทำให้เด็กๆทุกคนที่มาเรียนมีโทนสีผิวไปทางเดียวกันหมด
ถือว่าได้เป็นการอาบแดดยามเช้ารับวิตามินบำรุงกระดูก พร้อมกับได้ผิวสีแทน
แทนที่จะขาว แต่ฉันก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่ดูน่ารักตามประสาเด็กๆ
ที่คุณครูทุกท่านอบรมบ่มสอนกันว่า ทุกคนจะต้องยืนตัวตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง
เมื่อดนตรีขึ้น ให้ร้องเพลงชาติเสียงดังๆ ร้องให้เต็มเสียง
ให้ดังกึกก้องไปทั่วโรงเรียน
แล้วนักเรียนทุกคนก็พร้อมใจกันปฏิบัติเช่นนั้นเรื่อยมา
เข้าแถวร้องเพลงชาติไทย |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น